เปรียบเทียบประกันรถยนต์ชั้น 1,2,3 ถูกที่สุด อัปเดต 2567
ซื้อประกันรถยนต์หรือต่อประกันรถยนต์ จำเป็นต้องซื้อแบบแพงสุดจะดีที่สุดจริงมั้ย? ประกันรถยนต์จำเป็นอย่างมากสำหรับคนใช้รถทุกประเภท เพราะสามารถมอบความคุ้มครองให้ผู้ขับขี่ รวมไปถึงผู้ใช้รถใช้ถนนถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเป็นช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องการซ่อมที่เกิดจากอุบัติเหตุ รวมไปถึงการดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาล ในปัจจุบันประกันรถยนต์ออกมาให้เลือกมากมายหลากหลายประเภท มีความคุ้มครองและค่าเบี้ยประกันแตกต่างกันออกไป ในบทความนี้ ประกันติดโล่จะมาอธิบายพร้อมเปรียบเทียบประกันรถยนต์แต่ละประเภทว่าให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง และควรเลือกต่อประกันรถยนต์ยังไงให้ได้ค่าเบี้ยประกันถูกและคุ้มค่าที่สุด
3 สิ่งที่ต้องรู้ก่อนต่อประกันรถยนต์ปี 2567
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกประกันรถยนต์ถูกที่สุด ควรพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1. เปรียบเทียบประกันรถยนต์ก่อนตัดสินใจ การใช้งานรถเหมาะกับประกันประเภทไหน
ด้วยความหลากหลายของประเภทประกันรถยนต์ ทำให้เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่คุณควรจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แต่ละประเภทมีเงื่อนไขการคุ้มครองยังไงบ้าง โดยอ้างอิงจากประเภทของประกัน ปัจจุบันมีทั้งหมด 5 ประเภทด้วยกันคือ ประกันชั้น 1 เป็นประเภทที่ให้ความคุ้มครองมากที่สุด, ชั้น 2+, ชั้น 3+, ชั้น 2 และชั้น 3 แต่ละประเภทก็จะมีการลดทอนความคุ้มครองออกไป และค่าเบี้ยประกันก็จะถูกลงตามไปด้วย ดังนั้น คุณควรศึกษาให้ดีก่อนว่า ประกันประเภทไหนที่เหมาะกับการใช้งานรถยนต์ของคุณ
2. เงื่อนไขความคุ้มครอง และค่าเบี้ยประกันของแต่ละบริษัท
สิ่งสำคัญถัดมาคือ เงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันรถยนต์ของแต่ละบริษัท ถึงแม้ว่าบริษัททุกรายจะมีรูปแบบกรมธรรม์ครบทั้ง 5 ประเภทก็จริง แต่ส่วนมากก็จะมีเงื่อนไข และรายละเอียดความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไป เพื่อตอบโจทย์ความต้องการผู้เอาประกันภัยเป็นหลัก ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ควรทำความเข้าใจ และเปรียบเทียบประกันรถยนต์ให้ดี เพื่อสิทธิประโยชน์สูงสุดสำหรับคุณเอง เช่น ครอบคลุมค่าซ่อมทั้งหมด ยกเว้นอะไหล่บางชิ้น, อะไหล่บางส่วนสามารถเบิกได้เป็นอะไหล่เทียบแท้สำหรับรถอายุเกิน 8 ปี และการเริ่มคุ้มครองที่ไม่เหมือนกัน เพราะบริษัทประกันบางรายเงื่อนไขเริ่มคุ้มครองตั้งแต่การผ่อนค่าเบี้ยประกันงวดแรก หรือบางเจ้าอาจจะต้องผ่อนให้หมดก่อนจึงจะเริ่มคุ้มครอง
3. เลือกบริษัทประกันที่เหมาะกับคุณ
การเลือกบริษัทประกันรถยนต์ ถือเป็นอีกสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะความน่าเชื่อถือของบริษัทว่าจะไม่เสี่ยงต่อการล้มละลาย และการให้บริการต่าง ๆ แก่ผู้เอาประกัน เช่น ระยะเวลาในการมาถึงจุดเกิดเหตุเมื่อเกิดอุบัติเหตุ, การอำนวยความสะดวก, ระยะเวลาการจัดการปัญหา ไปจนถึงจำนวนอู่ซ่อมรถยนต์มาตรฐานที่อยู่ในเครือที่เป็นจุดสำคัญ เพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะนำรถยนต์ไปเคลมกับอู่ที่อยู่ใกล้บ้านมากกว่า ทั้งนี้คุณสามารถซื้อประกันรถยนต์ออนไลน์ผ่านโบรกเกอร์หรือตัวแทนขายประกันรถยนต์กับ “ประกันติดโล่” ได้ เพราะพวกเราสามารถมอบขอเสนอ และเปรียบเทียบประกันรถยนต์จากแต่ละบริษัทให้คุณได้ง่าย ๆ สะดวกมากกว่าที่คิด
เปรียบเทียบประกันรถยนต์ 2567
ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจสามารถแบ่งออกได้ทั้งหมด 5 ประเภท คือ ประกันชั้น 1, ชั้น 2+, ชั้น 3+, ชั้น 2 และชั้น 3 โดยจะมีเงื่อนไขการคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไปตามประเภท คุณสามารถเปรียบเทียบความครอบคลุมได้จากรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองอะไรบ้าง
ประกันรถยนต์ชั้น 1 คือประเภทที่ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเหตุที่มีคู่กรณี หรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม โดยสามารถให้คุ้มครองความเสียหายได้ทั้งกระจกหน้ารถยนต์, อะไหล่และส่วนประกอบรถยนต์ทั้งหมด, ความเสียหายจากไฟไหม้, ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ อย่างเช่นน้ำท่วม, คุ้มครองต่อการถูกโจรกรรม และให้บริการรถยกเมื่อเกิดอุบัติเหตุตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับความคุ้มครองตัวผู้ขับขี่และบุคคลภายนอกหรือคู่กรณี มีความครอบคลุมดังต่อไปนี้ ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์, ค่าอุบัติเหตุส่วนบุคคล, ค่าประกันตัว และสามารถปรับแต่งแผนการประกันได้เพื่อลดค่าใช้จ่ายบางส่วน
ข้อควรรู้สำหรับประกันชั้น 1
ประกันชั้น 1 เป็นประกันที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์ประเภทอื่น ๆ โดยจะมีค่าเบี้ยประกันสูงที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานรถยนต์ทุกวัน เดินทางไกลบ่อย ๆ รถยนต์ป้ายแดง รวมไปถึงมือใหม่ที่พึ่งหัดขับรถจะเหมาะมาก ๆ เพราะให้ความคุ้มครองกับอุบัติเหตุที่ไม่มีคู่กรณีได้
2. ประกันรถยนต์ชั้น 2+ คุ้มครองอะไรบ้าง
ประกันรถยนต์ชั้น 2+ คือประเภทของประกันที่มีพื้นฐานมาจากประกันชั้น 2 และใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่มีคู่กรณี ความเสียหายที่เกิดจากไฟไหม้ และภัยธรรมชาติ อย่างเช่นน้ำท่วม, คุ้มครองต่อการถูกโจรกรรม และให้บริการรถยกเมื่อเกิดอุบัติเหตุตลอด 24 ชั่วโมง
ให้ความคุ้มครองสำหรับตัวผู้ขับขี่และบุคคลภายนอกหรือคู่กรณีได้เหมือนกับประกันชั้น 1 เช่น ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ความเสียหายของรถยนต์, ค่าอุบัติเหตุส่วนบุคคล และค่าประกันตัว โดยผู้เอาประกันสามารถปรับแต่งแผนประกันได้เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่จำเป็นได้
3. ประกันรถยนต์ชั้น 2 คุ้มครองอะไรบ้าง
ประกันรถยนต์ชั้น 2 คือประกันภัยที่สามารถให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่สามารถรับผิดชอบต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกหรือคู่กรณีได้เมื่อเราเป็นฝ่ายผิด โดยที่ค่าใช้จ่ายในส่วนของผู้เอาประกันจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง ในส่วนของการคุ้มครองอื่น ๆ มีความครอบคลุมดังนี้ การถูกโจรกรรม, ความเสียหายจากไฟไหม้, ค่าประกันตัว และค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ข้อควรรู้สำหรับประกันชั้น 2+ และชั้น 2
ประกันชั้น 2+ นั้นมีพื้นฐานมาจากประกันชั้น 2 มีการเพิ่มเติมความคุ้มครองบางส่วนที่ใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 โดยที่ตัวกรมธรรม์นั้นสามารถรับผิดชอบต่อทรัพย์สินของทั้งผู้เอาประกันภัย และคู่กรณีได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ให้ความคุ้มครองเมื่อเกิดความเสียหายจากไฟไหม้ น้ำท่วมและโจรกรรม เมื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์ชั้น 2 นั้นจะไม่สามารถรับผิดชอบความเสียหายต่อรถยนต์ของผู้เอาประกันได้ ไม่มีบริการรถยก รวมไปถึงความเสียหายจากไฟไหม้และน้ำท่วมด้วยเช่นกัน เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้น้อย รถยนต์อายุ 7 ปีขึ้นไป มีความกังวลในพื้นที่จอดประจำ เช่น ผู้ที่อาศัยในอะพาร์ตเมนต์ไม่มีที่จอดตายตัว ต้องไปจอดตามริมทาง หรือที่สาธารณะ และเหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์เพราะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุน้อย
4. ประกันรถยนต์ชั้น 3+ คุ้มครองอะไรบ้าง
ประกันรถยนต์ชั้น 3+ คือประเภทที่มีความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 2+ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยรับผิดชอบต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกหรือคู่กรณี มีบริการรถยกให้ตลอด 24 ชั่วโมง ในด้านความคุ้มครองสำหรับตัวบุคคลนั้น ครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล และค่าประกันตัวที่มาจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และสามารถปรับแผนประกันได้เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายหรือเบี้ยประกันได้
5. ประกันรถยนต์ชั้น 3 คุ้มครองอะไรบ้าง
ประกันชั้น 3 คือประกันภาคสมัครใจในระดับพื้นฐานที่สามารถให้ความคุ้มครองได้เฉพาะทรัพย์สินของคู่กรณีเมื่อเกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ รับผิดชอบทั้งในส่วนของค่ารักษาพยาบาลทั้งคู่กรณีและผู้เอาประกันภัย รวมไปถึงค่าประกันตัวของผู้เอาประกันภัยด้วยเช่นกัน
ข้อควรรู้สำหรับประกันชั้น 3+ และชั้น 3
ประกันชั้น 3+ และชั้น 3 สามารถให้ความคุ้มครองเฉพาะในด้านความเสียหายของคู่กรณีที่เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายของรถยนต์ การบาดเจ็บ และการเสียชีวิตของคู่กรณี เมื่อเปรียบเทียบประกันรถยนต์ชั้น 3+ จะเพิ่มเติมในส่วนของบริการรถยกตลอด 24 ชั่วโมงให้กับรถของผู้เอาประกัน เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานน้อย มีที่จอดเป็นหลักเป็นแหล่ง และเหมาะกับผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์สูงมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุน้อย
ตารางเปรียบเทียบประกันรถยนต์ 2567 ทั้ง 5 ประเภท
วิธีลดเบี้ยประกันรถยนต์ให้คุณต่อได้คุ้มค่ามากที่สุด
1. ติดกล้องหน้ารถยนต์
การติดกล้องรถยนต์ถือเป็นวิธีสำคัญที่ช่วยลดค่าเบี้ยประกันลงได้ถึง 5-10% เลยทีเดียว เพราะทาง คปภ. ได้บังคับใช้ตั้งแต่ 3 มีนาคม 2560 เพราะกล้องติดรถยนต์นั้นถือเป็นพยานชิ้นสำคัญที่ช่วยระบุได้ชัดเจนมากขึ้นว่าฝ่ายไหนถูกหรือผิด ดังนั้นใครที่กำลังจะต่อประกันรถยนต์สามารถนำไปแจ้งกับบริษัทประกันได้เลย ใครที่ยังไม่มีขอแนะนำให้ติดกล้องติดรถยนต์ ที่ช่วยทั้งการบันทึกภาพเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพื่อความปลอดภัยของคุณ และช่วยลดเบี้ยประกันให้ถูกลง
2. รักษาประวัติการเคลมไว้ให้ดี
ประวัติการเคลม เป็นอีกส่วนสำคัญที่จะช่วยลดค่าเบี้ยประกันในปีถัดไปได้ โดยเป็นข้อบังคับจากทาง คปภ. โดยระบุไว้ว่า ถ้าผู้เอาประกันไม่มีประวัติการเคลม หรือไม่มีอุบัติเหตุเลยทั้งปี จะได้รับสิทธิ์ส่วนลดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ถูกที่สุดจากบริษัทมากถึง 50% โดยแบ่งได้เป็นกรณีดังต่อไปนี้
- ไม่มีการเคลมตลอด 1 ปี รับส่วนลด 20% สำหรับเบี้ยประกันปีถัดไป
- ไม่มีการเคลม 2 ปีติดกัน รับส่วนลด 30% สำหรับเบี้ยประกันปีถัดไป
- ไม่มีการเคลม 3 ปีติดกัน รับส่วนลด 40% สำหรับเบี้ยประกันปีถัดไป
- ไม่มีการเคลม 4 ปีติดกัน รับส่วนลด 50% สำหรับเบี้ยประกันปีถัดไป
3. เลือกซ่อมอู่จ่ายเบี้ยน้อยกว่า
การเลือกสถานที่ซ่อมมีผลต่อเบี้ยประกันด้วยเช่นกัน โดยทางบริษัทประกันสามารถให้คุณเลือกได้ทั้งซ่อมศูนย์และซ่อมอู่ โดยความแตกต่างจะอยู่ที่ค่าใช้จ่ายจากการซ่อมศูนย์จะสูงกว่า ทั้งค่าอะไหล่ ค่าบริการ และระยะเวลาในการรอเบิกอะไหล่ ซึ่งการซ่อมอู่ในเครือประกันจะให้ความสะดวกในการดำเนินการมากกว่า และสามารถเชื่อถือได้
4. ระบุชื่อผู้ขับขี่ในกรณีที่มีคนขับไม่เกิน 2 คน
วิธีต่อมาเหมาะสำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ประจำตัว โดยที่ไม่มีการให้ผู้อื่นยืมบ่อย ๆ คุณสามารถระบุคนขับลงในกรมธรรม์กับทางประกันได้เลย โดยส่วนมากจะมอบส่วนลดให้ตามประสบการณ์ และอายุของผู้ขับขี่ ดังนี้
- อายุ 18-24 ปี รับส่วนลดสูงสุด 5%
- อายุ 25-35 ปี รับส่วนลดสูงสุด 10%
- อายุ 36-50 ปี รับส่วนลดสูงสุด 15%
- อายุ 50 ปีขึ้น รับส่วนลดสูงสุด 20%
5. กำหนดค่าเสียหายส่วนแรก
การกำหนดค่าเสียหายส่วนแรกหรือ Deductible คือ ค่าเสียหายที่มีการกำหนดว่าจะจ่ายเองในส่วนแรกที่มีการเคลมเกิดขึ้น ซึ่งสามารถนำไปลดเบี้ยประกันได้ โดยที่ทาง คปภ. มีการกำหนดไว้ไม่เกิน 5,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ในกรมธรรม์ประกันภัย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
- ถ้ากำหนดค่าเสียหายส่วนแรก 1,000 บาท รับส่วนลดค่าเบี้ย 10% สำหรับเบี้ยประกันปีถัดไป
- ถ้ากำหนดค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท รับส่วนลดค่าเบี้ย 15% สำหรับเบี้ยประกันปีถัดไป
- ถ้ากำหนดค่าเสียหายส่วนแรก 3,000 บาท รับส่วนลดค่าเบี้ย 20% สำหรับเบี้ยประกันปีถัดไป
- ถ้ากำหนดค่าเสียหายส่วนแรก 4,000 บาท รับส่วนลดค่าเบี้ย 25% สำหรับเบี้ยประกันปีถัดไป
- ถ้ากำหนดค่าเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท รับส่วนลดค่าเบี้ย 30% สำหรับเบี้ยประกันปีถัดไป
สรุป การเปรียบเทียบประกันรถยนต์ 2567
การเปรียบเทียบประกันรถยนต์ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ลดค่าเบี้ยได้ดี เมื่อคุณต้องการต่อประกันรถยนต์ในปีถัด ๆ ไป โดยสิ่งที่คุณควรทำการบ้านก่อนตัดสินใจก็คือ การประเมินลักษณะการใช้รถยนต์ของตนเองว่าใช้บ่อยแค่ไหน มีนิสัยการขับขี่เป็นยังไง มีประสบการณ์ในการขับขี่มากแค่ไหน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรทำประกันรถยนต์ชั้นไหนดี อีกทั้งยังช่วยให้ค่าเบี้ยประกันถูกลงได้ถ้ามีประวัติที่ดี สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์จากบริษัทชั้นนำ ติดต่อได้ที่ประกันติดโล่สาขาใกล้บ้านคุณ พร้อมให้บริการด้วยแผนประกันที่เหมาะกับคุณมากที่สุด
ที่มา: ศคง. ธนาคารแห่งประเทศไทย, tnnthailand, บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด