3 อาการที่ต้องสังเกต ว่าควรเปลี่ยนผ้าเบรครถยนต์ได้แล้ว!
การขับขี่รถยนต์ไม่ว่าจะขับรถทางไกลหรือขับรถในระยะใกล้ ส่วนที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่มากที่สุดคือระบบเบรค เพื่อให้ระบบนี้สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ จึงต้องให้ความสำคัญกับยางรถยนต์ อย่างการเติมลมยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับประเภทรถของคุณ จานเบรค และผ้าเบรครถยนต์ ประกันติดโล่จะมาแนะนำวิธีการดูแลรักษาผ้าเบรค อุปกรณ์สำคัญเพื่อความปลอดภัยที่คนขับรถไม่ควรมองข้ามนี้ ด้วยการสังเกต 3 อาการที่บอกว่า ควรเปลี่ยนผ้าเบรครถของคุณได้แล้ว!
ความสำคัญของ“ผ้าเบรครถยนต์” ที่คนขับรถห้ามมองข้าม
ผ้าเบรครถยนต์ คือส่วนประกอบของรถยนต์ที่ใช้สำหรับการชะลอ หรือหยุดความเร็วของรถยนต์ ขณะขับรถเมื่อคุณทำการเหยียบเบรค ผ้าเบรคจะทำการดันจานเบรคเพื่อสร้างแรงเสียดทานทำให้ล้อรถเกิดการชะลอตัว จึงทำให้ผ้าเบรคนั้นจะบางลงเรื่อย ๆ
หากผ้าเบรคเริ่มบางมาก ๆ จะทำให้การเบรคเริ่มติดขัดมากขึ้น อาจทำให้ต้องออกแรงเหยียบเบรคมากขึ้นในการเบรคแต่ละครั้ง แต่ถ้าหากขับมาด้วยความเร็วมาก ๆ ผ้าเบรคที่บางแล้วก็อาจจะไม่สามารถห้ามล้อได้ ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ทั้งต่อตัวคุณเองและผู้อื่น เรามาสังเกตอาการต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่าควรเปลี่ยนผ้าเบรครถยนต์ได้แล้ว
ผ้าเบรคควรเปลี่ยนตอนไหนถึงจะดีที่สุด?
ผ้าเบรครถยนต์ใช้ได้กี่ปี? ผ้าเบรครถยนต์มีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 50,000 – 60,000 กิโลเมตร ต่อให้ขับทุกวันก็ยังรู้สึกว่าใช้งานได้ค่อนข้างนาน หากคุณไม่ได้เอารถไปตรวจสภาพก็แทบจะไม่ได้สนใจว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนผ้าเบรครถยนต์ หากจำไม่ได้ว่าผ้าเบรคเราใช้งานมานานขนาดไหน และไม่รู้ว่าผ้าเบรคควรเปลี่ยนตอนไหนดี ประกันติดโล่ขอแนะนำให้สังเกตจาก 3 อาการดังกล่าวนี้ ที่จะช่วยบอกได้ว่ารถของคุณควรจะเปลี่ยนผ้าเบรค
-
สัมผัสของการเบรคไม่เหมือนเดิม
อาการที่เห็นได้ชัดที่สุดเมื่อผ้าเบรคใกล้หมดก็คือ ส่งผลกระทบต่อการเบรคโดยตรงนั่นเอง โดยสามารถสังเกตได้จากเสียงผิดปกติขณะเหยียบเบรค เช่น ดังเอี๊ยด ๆ หรือครืด ๆ ซึ่งหมายความว่าผ้าเบรคนั้นเรื่มบางจนเริ่มเหลือเพียงส่วนที่เป็นเหล็กแล้ว
หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ อาจทำให้จานเบรคเกิดความเสียหายได้ ควรนำรถเข้าศูนย์แล้วทำการเปลี่ยนผ้าเบรคโดยทันที เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง
-
ต้องยกเบรคมือสูงขึ้นกว่าปกติ
ปกติแล้วเวลาจอดรถยนต์ไว้กับที่เราก็จะต้องเข้าเกียร์จอด แล้วดึงเบรคมือขึ้น แต่ถ้าหากเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าเบรคมือหลวม ๆ จนต้องดึงสูงกว่าปกติ นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ผ้าเบรคของคุณเริ่มบางมากแล้ว ควรเข้าไปทำการเช็คโดยด่วน
-
สังเกตไฟเตือนหน้าคอนโซล
รถยนต์หลาย ๆ รุ่นจะมีไฟเตือนหน้าคอนโซลเป็นสัญลักษณ์รูปตัว (P) หากสัญลักษณ์นี้มีไฟขึ้น แสดงว่าระบบเบรคของคุณกำลังมีปัญหาแล้ว โดยอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น น้ำมันเบรครั่ว หรือผ้าเบรคเริ่มหมดจนต้องถึงเวลาเปลี่ยน
แต่ไม่ว่าปัญหาดังกล่าวจะเกิดจากอะไร แต่การที่สัญญาณไฟนี้ขึ้นแจ้งเตือนถือว่าระบบเบรคในรถยนต์ของคุณเริ่มมีปัญหา และอันตรายต่อการขับขี่บนท้องถนนค่อนข้างมากเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นหากสังเกตเห็นสัญลักษณ์นี้ ให้รีบนำรถยนต์ไปเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบจะดีที่สุด
ไฟเตือนสีต่าง ๆ หน้าคอนโซลบอกอะไร? ประกันติดโล่จะบอกให้!
ไฟเตือนสีต่าง ๆ บนคอนโซลหน้ารถ หากเป็นสีเขียวหรือสีน้ำเงิน หมายถึง กำลังใช้งานระบบนั้นอยู่ตามปกติ หากเป็นสีเหลือง หมายถึง ให้เริ่มตรวจเช็คการใช้งานว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ก็ยังสามารถขับรถได้ตามปกติ แต่หากเป็นสีแดง หมายถึง ให้รีบทำการตรวจเช็คทันทีและควรหยุดการใช้งานรถก่อนเพื่อความปลอดภัย
ไขปัญหาคาใจ เปลี่ยนผ้าเบรครถยนต์แล้ว ควรเจียรจานเบรคหรือไม่?
ผ้าเบรคและจานเบรคนั้นเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้ควบคู่กัน โดยปกติแล้วเวลาที่เปลี่ยนผ้าเบรคช่างมักจะแนะนำให้เจียรจานเบรคอยู่เสมอ โดยให้เหตุผลว่าไม่อย่างนั้นเบรคจะเสียงดังนะ จับถนนไม่อยู่นะ ฯลฯ
จึงทำให้หลาย ๆ คนจึงเกิดคำถามขึ้นในใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า? หรือช่างแค่พูดเพื่ออยากให้เราจ่ายเงินเพื่อใช้บริการเพิ่มเท่านั้น และจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเจียรจานเบรค? ประกันติดโล่จะช่วยตอบคำถามนี้ให้กับคุณเอง
โดยการตัดสินใจว่าจะเจียรหรือไม่เจียรนั้น สามารถสังเกตได้จากการเหยียบเบรค ถ้าหากจานเบรคมีปัญหาคดงออย่างที่ช่างว่ามาจริง ๆ ขณะทำการเบรครถของคุณจะมีการสั่น ถ้าหากสั่นรุนแรงมาจนถึงพวงมาลัยจึงควรที่จะทำการเจียร
แต่ถ้าหากว่าอาการยังไม่รุนแรงถึงขั้นนั้น ประกันติดโล่ก็แนะนำว่าอย่าเพิ่งเจียรจะดีกว่า เพราะถ้าหากเจียรจานเบรคบ่อย ๆ เข้าจะยิ่งทำให้จานเบรคบาง และเกิดการคดงอได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
สรุป การเปลี่ยนผ้าเบรครถยนต์
ผ้าเบรคคือหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญต่อการขับขี่อย่างปลอดภัยบนท้องถนนเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นควรหมั่นตรวจสอบผ้าเบรค และสังเกตอาการผิดปกติเหล่านี้ เพื่อที่จะได้ลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุต่อตัวเองและคนรอบข้าง
และเพื่อความสบายใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น อย่าลืมให้ความสำคัญกับการต่อพ.ร.บ.รถและการทำประกันรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 ประกันชั้น 2+ หรือประกันชั้น 3+ เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จึงต้องหาหลักประกันไว้คุ้มครองยามเกิดเหตุร้าย เพราะค่าใช้จ่ายที่จะตามมาไม่ใช่เล่น ๆ ซึ่งทั้ง 2 สิ่งนี้จะช่วยให้คุณอุ่นใจด้านค่าใช้จ่ายมากขึ้น