เลือกประเภทถังดับเพลิงในรถยนต์ให้เหมาะสม ป้องกันการเกิดเหตุไฟไหม้
ไฟไหม้รถอาจเป็นอุบัติเหตุที่หลาย ๆ คนอาจมองว่าไกลตัว ในช่วงที่ผ่านมาก็มีเหตุไฟไหม้รถให้เห็นหลายเหตุการณ์ทีเดียว เพื่อความปลอดภัย จึงควรเตรียมความพร้อมด้วยการมี “ถังดับเพลิง” ติดรถเอาไว้
แต่ถังดับเพลิงก็มีให้เลือกติดตั้งหลายประเภท แถมยังมีขนาดใหญ่อีก แล้วแบบไหนถึงจะเหมาะสำหรับเอาไว้ใช้ในรถล่ะ ? บทความนี้จะช่วยให้คุณแนะนำให้คุณเลือกถังดับเพลิงที่เหมาะสมสำหรับรถยนต์ของคุณนั่นเอง
ประเภทของเพลิงไหม้ภายในรถ
ก่อนจะเลือกซื้อถังดับเพลิงนั้นเราต้องมาดูก่อนว่าไฟประเภทไหนบ้างที่สามารถเกิดได้ในรถยนต์ ซึ่งไฟแต่ละประเภทนั้นต้องใช้เคมีในการดับไฟที่แตกต่างกัน จึงต้องศึกษาก่อนเพื่อที่จะเลือกซื้อถังดับเพลิงมาใช้ได้อย่างถูกต้อง
โดยเหตุเพลิงไหม้ที่สามารถเกิดในรถได้ มีดังนี้
-
เพลิงไหม้ประเภท A: เป็นเพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงที่เป็นของแข็ง ซึ่งอาจติดไฟได้จากส่วนที่เป็นวัสดุของรถ เช่น เบาะรถยนต์
-
เพลิงไหม้ประเภท B: เป็นเพลิงที่เกิดจากน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันเครื่อง แก๊สรถยนต์
-
เพลิงไหม้ประเภท C: เป็นเพลิงที่เกิดจากการขัดข้องของไฟฟ้า ซึ่งสามารถเกิดภายในรถได้จากการทำงานผิดพลาดของแบตเตอรี่
เพราะฉะนั้นในการเลือกซื้อถังดับเพลิง จึงต้องเลือกถังประเภทที่คลอบคลุมไฟทั้ง 3 ประเภทนี้
การเลือกถังดับเพลิง
ถังดับเพลิงนั้นมีหลายชนิด ซึ่งจะแตกต่างกันที่สารเคมีที่บรรจุอยู่ภายใน โดยแต่ละประเภทมีความสามารถในการดับไฟและข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
- แบบสเปรย์โฟม: รองรับการดับเพลิงประเภท A, B (แบบจำกัด)
- ข้อดี: น้ำหนักเบา พกพาสะดวก 500 ml
- ข้อเสีย: ดับไฟได้ไม่ทุกชนิด
- แบบผงเคมีแห้ง: รองรับการดับเพลิงประเภท A, B, C (แบบจำกัด)
- ข้อดี: ราคาไม่สูงมาก สามารถดับไฟได้เร็วกว่าแบบสเปรย์โฟม
- ข้อเสีย: เมื่อฉีดออกมาจะฟุ้งกระจาย และเมื่อเราทำการฉีดแล้ว แม้จะฉีดเคมีไม่หมดแต่แรงดันจะตก ไม่สามารถใช้งานได้อีก ต้องส่งบรรจุใหม่
- แบบสารเหลวระเหย: รองรับการดับเพลิงประเภท A, B, C
- ข้อดี: สามารถดับไฟได้ทุกประเภท ไม่ทิ้งคราบสกปรกหลังใช้ ใช้ไม่หมดนำมาใช้ซ้ำได้
- ข้อเสีย: มีราคาค่อนข้างสูง
- แบบเคมีสูตรน้ำ: รองรับการดับเพลิงประเภท A, B, C
- ข้อดี: สามารถดับไฟได้ทุกประเภท ดับไฟได้เร็ว พร้อมป้องกันไฟลุกขึ้นมาติดอีก ใช้ไม่หมดนำมาใช้ซ้ำได้
- ข้อเสีย: มีราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น ๆ
เมื่อเทียบข้อดีและข้อเสียของถังดับเพลิงทั้ง 4 ประเภทนี้แล้ว เราจะแนะนำ “แบบเคมีสูตรน้ำ” ซึ่งมีราคาที่ไม่แพงมาก และรองรับไฟทุกประเภท
การติดตั้ง
หลาย ๆ คนมักเลือกที่จะติดตั้งถังดับเพลิงขนาดใหญ่ไว้ในฝากระโปรงหลัง เพื่อที่จะไม่กินเนื้อที่ภายในห้องโดยสาร แต่ว่า ! เราไม่แนะนำให้ทำอย่างนั้น เพราะบ่อยครั้งที่เพลิงมักจะลุกไหม้มาจากทางด้านหลังในรถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊ส ทำให้เราไม่สามารถนำถังดับเพลิงมาใช้ได้
โดยการติดตั้งถังดับเพลิงที่ดี เราจะแนะนำให้ติดตั้งที่ 2 บริเวณนี้ครับ
- ภายในห้องโดยสาร: แนะนำให้ติดตั้ง ถังดับเพลิงขนาด 2 ปอนด์ ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากไว้อย่างน้อย 2 ตำแหน่ง คือบริเวณเบาะหน้าใกล้คนขับ และบริเวณเบาะหลัง
- ภายในฝากระโปรงหลัง: แนะนำให้ติดตั้ง ถังดับเพลิงขนาด 15 ปอนด์ (สามารถเล็กกว่านี้ได้หากกระโปรงหลังมีพื้นที่น้อย) ซึ่งจะช่วยรองรับการติดไฟขนาดใหญ่ได้
อุปกรณ์ช่วยยามฉุกเฉิน
-
ค้อนนิรภัย
ในกรณีที่เหตุไฟไหม้เกิดมากจากแบตเตอรี่ อาจทำให้ระบบไฟฟ้าภายในรถไม่ทำงาน มีโอกาสที่จะทำให้ เปิดประตูรถไม่ได้ และ ไม่สามารถปลดเข็มขัดนิรภัยได้ ซึ่งจะทำให้เราหนีไม่ทัน และเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เราอยากให้ทุกท่านมีติดรถไว้ก็คือ “ค้อนนิรภัย” โดยเจ้าค้อนนี้สามารถทำได้ทั้งทุบกระจก และตัดเข็มขัดนิรภัยในยามฉุกเฉิน จึงเป็นตัวช่วยที่ดีมาก ๆ สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินแบนี้
-
หน้ากากกรองอากาศ
แม้จะมีอุปกรณ์ดับเพลิงแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเดินเข้าไปดับเพลิงได้ในทันทีเลยนะครับ เพราะควันที่ออกมาจากไฟนั้นก็มีอันตรายไม่แพ้กัน เพียงแค่สูดเข้าไปไม่กี่ครั้งก็อาจทำให้หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ไออย่างรุนแรง หากสูดเข้าไปนาน ๆ เข้า อาจถึงขั้นหมดสติได้
เพราะฉะนั้น คุณจึงควรมี “หน้ากากกรองอากาศ” แบบที่สามารถป้องกันควันไฟกันได้เอาไว้อย่างน้อย 2 ชิ้น เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทำให้ไม่สามารถออกจากรถได้จะช่วยให้คุณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
-
รวมเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน
อีกสิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้เลยคือ “เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน” ที่ติดต่อไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นให้รีบโทรแจ้งไปยังเบอร์โทรฯ เหล่านี้ทันที
โดยเราได้รวมเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินที่ควรมียามเกิดเหตุไฟไหม้ให้แล้ว สามารถดูได้ดังนี้เลยครับ
- 191 – แจ้งเหตุด่วน / เหตุร้ายทุกชนิด
- 199 – แจ้งเหตุไฟไหม้ / ดับเพลิง
- 1669 – หน่วยฉุกเฉิน (ทั่วประเทศ)
- 1646 – หน่วยฉุกเฉิน (กทม.)
สรุป
สิ่งสำคัญคือคุณต้องหมั่นตรวจสอบสภาพรถให้พร้อมใช้งานและคอยสังเกตความผิดปกติของรถ แม้จะมีอุปกรณ์สำหรับดับไฟติดรถไว้ แต่ก็ช่วยระงับเหตุได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้นั้นแน่นอนว่ารถจะต้องเสียหายเป็นอย่างมาก แต่หากคุณมีประกันภัยรถยนต์ที่คุ้มครองไฟไหม้รถด้วยก็สามารถช่วยแบ่งเบาค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้
หากคุณต้องการมองหาประกันภัยที่คุ้มครองเหตุเพลิงไหม้ในรถ ลองปรึกษาประกันติดโล่ดูสิครับ เรามีประกันให้คุณเลือกหลากหลาย สามารถเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายกับเจ้าอื่น ๆ ได้ สามารถดูได้ที่ ประกันกับประกันติดโล่ หรือสอบถามประกันติดโล่ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ พวกเรายินดีให้บริการครับ