การบำรุงรักษารถยนต์ตามฤดูกาลอย่างไร ให้เครื่องฟิตตลอดการใช้งาน
เมื่อฤดูกาลเริ่มเปลี่ยน แน่นอนว่าสภาพอากาศนั้นย่อมมีผลต่อสภาพเครื่องของรถยนต์สุดที่รักของคุณ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ใส่ใจก็อาจสร้างปัญหาในภายหลังได้ การบำรุงรักษารถยนต์ ให้เหมาะสมตามฤดูกาลจึงเป็นสิ่งสำคัญ
แม้อากาศของประเทศไทยจะร้อนเกือบตลอดเวลา แต่ประเทศไทยนั้นมีด้วยกัน 3 ฤดูได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว ซึ่งมีวิธีดูแลรถแตกต่างกัน นอกจากการบำรุงรักษารถยนต์ในช่วงเวลาปกติแล้ว เรามาดูกันเลยว่าจะมีการบำรุงรักษารถยนต์ตามฤดูกาลอย่างไร ให้รถพร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา
ฤดูร้อน
ฤดูนี้จะมีอากาศร้อนจัด เมื่อจำเป็นที่จะต้องจอดรถข้างนอกในที่ที่ไม่มีร่มเงา จะทำให้รถเกิดการสะสมความร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจส่งผลเสียได้ในระยะยาว จึงต้องมีการใส่ใจบำรุงรักษารถยนต์ให้มากเป็นพิเศษ
แม้ว่าความร้อนจะไม่ได้ส่งผลให้รถเสียแบบฉับพลัน แต่ในระยะยาวอาจทำความเสียหายได้ ดังนี้
- อุปกรณ์ที่ทำจากยางหรือพลาสติกเกิดเสื่อมสภาพได้ง่าย
- เครื่องยนต์ร้อนและทำงานหนักขึ้น เพราะสภาพอากาศส่งผลต่อระบบระบายความร้อน เช่น หม้อน้ำ
- ฟิล์มรถยนต์อาจแห้งกรอบ หรือหลุดลอกได้
- ระบบแอร์ทำงานหนักขึ้น หากใช้งานติดกันนาน ๆ อาจพังเร็วขึ้น
- ยางรถยนต์เกิดการตึงกว่าปกติ ส่งผลต่อแรงเสียดทาน สำหรับผู้ที่ใช้ยางเก่าต้องระวังการระเบิด
วิธีบำรุงรักษา
เมื่อรู้กันแล้วว่าผลกระทบที่มาจากฤดูร้อนมีอะไรบ้าง ทีนี้ก็มาดูวิธีการบำรุงรักษารถยนต์ของคุณในฤดูร้อนกันเลยครับ
- ถ้าจอดรถกลางแดดนาน ๆ เมื่อสตาร์ทรถแล้วให้จอดนิ่ง ๆ ไว้สักพักก่อนเพื่อให้เครื่องยนต์ระบายความร้อน
- หากอุณหภูมิห้องโดยสารร้อนเกินไป อย่าเพิ่งเร่งแอร์จนสุด เนื่องจากแอร์จะทำงานหนักขึ้นจนพังเร็ว ให้ทำการเปิดประตูรถและใช้ระบบพัดลมธรรมดาไล่ความร้อนออกไปก่อน จากนั้นค่อยเร่งแอร์ขึ้น
- อย่าบรรทุกคนหรือของหนักมากเกินไป เพราะจะเป็นภาระให้กับเครื่องยนต์ที่ทำงานหนักขึ้นอยู่แล้ว
- ตรวจเช็คหม้อน้ำไม่ให้แห้งก่อนออกเดินทาง
- เช็คสภาพยางว่าไม่ตึง กรอบ หรือมีรอยแตก
- ไม่ใช้ผ้าคลุมที่แนบสนิทไปกับตัวรถ เพราะถ้าอากาศร้อนมาก ๆ สีจากตัวรถอาจหลุดไปกับผ้าคลุมได้
- ไม่เก็บอุปกรณ์ที่เสี่ยงต่อการระเบิดไว้ในรถ เช่น โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่สำรอง หรือผลิตภัณฑ์บรรจุแก๊สต่าง ๆ
หากสามารถทำได้ตามคำแนะนำทุกข้อ ความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อรถของคุณในฤดูร้อนก็จะลดลงได้มากแล้วครับ แต่ประกันติดโล่ขอแนะนำว่าหลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแจ้ง แล้วหาที่จอดรถที่มีร่มเงาก็จะส่งผลดีต่อรถยนต์ของคุณมากที่สุด
ฤดูฝน
สำหรับฤดูฝน อาจมีการบำรุงรักษารถยนต์ไม่มากเท่ากับฤดูร้อน แต่จะมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ต้องใส่ใจในส่วนของสีรถ และระบบของเหลวต่าง ๆ นอกจากนี้ฤดูฝนเป็นฤดูที่มีการเกิดอุบัติเหตุบ่อยที่สุดเนื่องจาก
- มองทางได้ยากขณะฝนตก กะระยะห่างจากรถคันอื่นได้ยาก
- ถนนลื่น โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุยิ่งมากขึ้น
- เสี่ยงน้ำท่วม เครื่องยนต์เสียหายหนักจนใช้งานไม่ได้
วิธีบำรุงรักษา
เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้กันดีว่าการขับรถขณะฝนตกอันตรายแค่ไหน เพราะฉะนั้นวิธีการบำรุงรักษาต่อไปนี้จะมีทั้งการดูแลเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน และการบำรุงรักษาสภาพเครื่องของรถยนต์ด้วย ซึ่งคุณสามารถทำได้ดังนี้
- ตรวจเช็คระบบของเหลวทั้งหมดหลังจากขับรถตอนฝนตก ทั้งน้ำมันเครื่อง น้ำมันเฟืองท้าย และน้ำมันเกียร์ หากสีของน้ำมันเหล่านี้อ่อน หรือจางลง แปลว่ามีน้ำฝนไหลเข้าไปปะปน ให้รีบนำไปเปลี่ยนถ่ายของเหลวทันที
- ตรวจเช็คลูกปืนล้อ เพราะขณะที่คุณขับรถผ่านแอ่งน้ำขังหรือแช่ไว้ในน้ำนาน ๆ อาจทำให้จาระบีที่เป็นตัวหล่อลื่นของลูกปืนถูกชะล้างออกไป เสี่ยงทำให้ลูกปืนล้อแตก
- สังเกตบริเวณโดยรอบบ้านว่าเคยน้ำท่วมไหม หากน้ำท่วมสูงถึงห้องเครื่องรถยนต์ของคุณบอกเลยว่าไม่ดีแน่ แถมประกันอาจไม่คุ้มครองกรณีนี้อีก ถ้ารู้ว่าบ้านของคุณเคยน้ำท่วม ในช่วงนี้ให้นำรถไปจอดที่อื่นก่อนจะดีที่สุด
- ระบบไฟทั้งหมดต้องใช้การได้ หากไฟดวงใดดวงหนึ่งไม่ทำงาน มีโอกาสที่จะทำให้รถคันอื่นไม่เห็นแล้วขับเข้ามาชนได้ ยิ่งฝนตกถนนลื่นโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุก็ยิ่งมาก
- ยางรถต้องพร้อมใช้ ยางรถของคุณต้องยังไม่เสื่อมสภาพ มิฉะนั้นการเกาะถนนจะลดลงทำให้ลื่นไถลจนเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย โดยอาจสังเกตจากอายุการใช้งานของยาง หากเกิน 3 ปีขึ้นไป ถือว่าเริ่มเสื่อมสภาพควรเปลี่ยนได้แล้ว
- เบรกต้องไม่สึก สังเกตดูว่าผ้าเบรกยังสามารถชะลอความเร็วรถได้เต็มประสิทธิภาพดังเดิมหรือไม่ ท้ายรถปัดเป๋ไปมาตอนเบรกบ้างหรือยัง หากพบอาการเหล่านี้ให้รีบนำรถไปตรวจสภาพโดยด่วน
- ใบปัดน้ำฝนต้องทำงานปกติ ในช่วงที่ฝนตก ทัศนวิสัยสำคัญที่สุด หากใบปัดน้ำฝนใช้ไม่ได้ คุณอาจมองไม่เห็นทางและเกิดอุบัติเหตุได้
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการบำรุงรักษารถยนต์ของคุณในช่วงฤดูฝน พร้อมป้องกันการเกิดอุบัติเหตุไปในตัวด้วย แต่ประกันติดโล่แนะนำว่า ขณะที่มีฝนตกหนักให้หาจุดจอดแวะพักรถก่อน เมื่อฝนซาแล้วค่อยขับต่อ จะเป็นการลดความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุที่ได้ผลที่สุดครับ
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าถึงแม้ว่าคุณจะขับรถดีแค่ไหน ก็ยังมีความเสี่ยงที่ผู้อื่นจะประมาทขับมาชนคุณ ซึ่งในกรณีนี้หากคุณไม่มีประกันรถยนต์ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมต่าง ๆ คุณอาจจะต้องจ่ายเองทั้งหมด เพราะฉะนั้นมีประกันรถยนต์ติดเอาไว้เผื่อความอุ่นใจจะดีที่สุด
ฤดูหนาว
ฤดูหนาวเป็นฤดูที่สามารถบำรุงรักษารถยนต์ง่ายที่สุด เพราะไม่มีปัญหามากเท่ากับฤดูร้อนและฤดูฝน ซึ่งจุดที่คุณต้องดูแลจะเป็นจุดที่มีปัญหาเล็ก ๆ อย่างเช่น
- การเกิดฝ้าที่กระจก บดบังทัศนวิสัย
- เครื่องยนต์เย็นเกินไป สตาร์ทเครื่องได้ช้า
- อาจมีหมอกปกคลุมระหว่างทาง ทำให้ขับรถได้ลำบาก
วิธีบำรุงรักษา
สำหรับวิธีบำรุงรักษารถยนต์ในช่วงฤดูหนาวนั้น จะคล้ายกับฤดูฝนที่ไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของเครื่องยนต์หรือส่วนอื่น ๆ มากนัก แต่เป็นการดูแลเพื่อความปลอดภัยในการขับรถ โดยสามารถทำได้ดังนี้เลยครับ
- สตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 10-15 นาทีเมื่ออากาศเย็นจัดก่อนออกรถ เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องยนต์ให้มีสภาพพร้อมใช้
- ไฟตัดหมอกต้องสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา หากคุณต้องขับไปต่างจังหวัดที่มีหมอกหนา ระบบไฟนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก
- เติมน้ำมันให้เต็มถังเพื่อหลีกเลี่ยงความชื้นสะสม
- ตรวจเช็คระบบไล่ฝ้าให้ดี เพราะในฤดูหนาวฝ้าจะขึ้นกระจกง่ายมาก แม้จะใช้ใบปัดน้ำฝนปัดแล้วฝ้าก็จะกลับมาอย่างรวดเร็วอยู่ดี จึงต้องเช็คระบบนี้ให้พร้อมใช้อยู่เสมอ
ฟังก์ชั่นหลายอย่างที่ต้องใช้ในช่วงฤดูหนาวนี้อาจไม่คุ้นเคยกันมากนัก แต่พอถึงคราวที่จำเป็นต้องใช้หากพบว่าเสียหรือไม่สามารถใช้งานได้ก็อาจจะส่งผลให้เกิดความลำบากในการขับรถ โดยเฉพาะกับหลาย ๆ คนที่ต้องออกไปต่างจังหวัดช่วงฤดูหนาวยิ่งต้องตรวจสอบให้ดี
สรุป
นอกจากการบำรุงรักษารถยนต์ตามฤดูกาลแล้ว อย่าลืมใส่ใจความปลอดภัยบนท้องถนนด้วย เลือกประกันภัยรถที่เหมาะกับรถของคุณผ่านโบรกเกอร์ประกันภัยรถประกันติดโล่ เรามีประกันรถยนต์หลากหลายรูปแบบให้คุณเลือก พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นความคุ้มค่า และบริการผ่อนจ่ายแบบไม่คิดดอกเบี้ย
สามารถส่งข้อมูลของคุณผ่าน โบรกเกอร์ประกันภัยประกันติดโล่ โดยเราจะรีบติดต่อคุณโดยเร็วที่สุด ประกันติดโล่พร้อมให้บริการทุกท่านอย่างเต็มที่ครับ!