รถไฟฟ้าดีไหม? มาดูจุดเด่นของรถไฟฟ้า EV ก่อนตัดสินใจซื้อ
กระแสรถ EV ในตลาดรถยนต์ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้วยเรื่องของดีไซน์และราคาที่จับต้องได้มากขึ้น อีกทั้งหลายแบรนด์มีการปรับตัวและพัฒนารถรุ่นใหม่ ๆ ออกมา เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถ EV ทำให้หลายคนที่กำลังวางแผนซื้อรถคันแรกหรืออยากออกรถใหม่มีทางเลือกเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ข้อเสียรถ EV จะมีอยู่บ้าง แต่ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่ารถไฟฟ้า EV ยังคงได้รับความนิยมเนื่องจากมีข้อดีและจุดเด่นที่คุ้มค่ากว่า ประกันติดโล่จึงได้รวบรวม 5 จุดเด่นที่จะทำให้หลายคนตัดสินใจเลือกใช้รถเก๋งไฟฟ้านี้
รถไฟฟ้า EV คืออะไร?
รถไฟฟ้า EV คือ รถยนต์ประเภทหนึ่งที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้แบบสันดาป อย่างเครื่องยนต์ดีเซลและเครื่องยนต์เบนซิน การทำงานของรถไฟฟ้าเป็นรถยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไปในการขับเคลื่อน โดยจะเก็บพลังงานไฟฟ้าเอาไว้ในแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ด้วยการเสียบปลั๊กรถยนต์เข้ากับเต้ารับไฟฟ้าที่บ้านหรือสถานีชาร์จ และแปลงพลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ ซึ่งจะแตกต่างจากเครื่องยนต์แบบสันดาปที่ขับเคลื่อนด้วยการเผาไหม้ส่วนผสมของเชื้อเพลิงซึ่งก็คือน้ำมันกับอากาศ โดยแรงระเบิดจากการเผาไหม้นั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ รถไฟฟ้า EV เป็นรถที่ใช้ไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมันนั่นเอง
ยี่ห้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย เช่น Tesla, BYD, NETA, ORA, MG, Volvo, AUDI, BMW เป็นต้น
ประเภทของรถไฟฟ้า EV
- รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid electric vehicle: HEV)
- รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV)
- รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV)
โดยรถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 3 ประเภทจะใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด แต่ PHEV จะมีทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปด้วย ส่วน HEV จะใช้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซินร่วมกัน
5 จุดเด่นของรถไฟฟ้า EV ที่หลายคนเลือกใช้
นอกจากจุดเด่นเรื่องประหยัดค่าน้ำมันและเทคโนโลยีทันสมัยต่าง ๆ ที่มากับรถไฟฟ้า EV เช่น ระบบควบคุมความเร็ว ระบบช่วยรักษาเลน หรือระบบเบรกฉุกเฉินแล้ว รถยนต์ไฟฟ้ายังมีจุดเด่นอีกหลายอย่างที่บอกได้เลยว่า จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้าเป็นรถยนต์คันใหม่ในเร็ว ๆ นี้ได้อย่างแน่นอน
1. ไม่สร้างมลพิษให้สิ่งแวดล้อม
ถือเป็นข้อได้เปรียบและจุดเด่นของรถไฟฟ้า EV เรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากกระบวนการขับเคลื่อนรถยนต์ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก จึงไม่มีการปล่อยก๊าซจากท่อไอเสียรถโดยตรง ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) หรือมลพิษอื่น ๆ ออกสู่อากาศ โดยทั่วไปรถเก๋งไฟฟ้าเหล่านี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดียิ่งขึ้นเมื่อชาร์จด้วยแหล่งพลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน ซึ่งต่างจากรถเครื่องยนต์แบบสันดาปที่ขับเคลื่อนด้วยการเผาไหม้ส่วนผสมของเชื้อเพลิง ซึ่งจะมีการปล่อยมลพิษออกสู่อากาศโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) หรือก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (NOx)
2. ลดการใช้พลังงาน
เพราะกระบวนการผลิตไฟฟ้าก็เป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รถไฟฟ้า EV จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการหันไปใช้พลังงานทดแทนได้ เช่น พลังงานลม หรือพลังงานแสงอาทิตย์ อีกทั้งรถ EV จะนำพลังงานไฟฟ้าไปใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่า จึงช่วยลดการใช้พลังงานได้มากกว่า ต่างจากเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลที่จะสิ้นเปลืองพลังงานส่วนใหญ่จากเชื้อเพลิงไปเป็นพลังงานความร้อนนั่นเอง
3. การเร่งความเร็วที่ราบรื่นและรวดเร็ว
แรงบิดที่พร้อมใช้งานทันทีในรถ EV ส่งผลให้มีอัตราเร่งที่ราบรื่นและรวดเร็วเป็นพิเศษ ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าขึ้นชื่อเรื่องแรงบิดที่เป็นเอกลักษณ์นี้ สามารถส่งแรงบิดสูงสุดตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มเหยียบคันเร่ง แตกต่างจากเครื่องยนต์แบบสันดาปที่จะต้องรอให้ถึงความเร็วรอบ RPM (รอบต่อนาที) เพื่อให้ได้แรงบิดสูงสุด จึงส่งแรงบิดได้ช้ากว่า แรงบิดที่พร้อมใช้งานทันทีในรถ EV นี้ ไม่เพียงแต่ให้อัตราเร่งที่เร้าใจและตอบสนองได้อย่างที่ต้องการ แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยในการควบคุมรถอีกด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ขับขี่จำนวนมาก
4. การบำรุงรักษาน้อยกว่า
องค์ประกอบสำคัญของรถ EV คือ มอเตอร์และแบตเตอรี่ ซึ่งแบตเตอรี่ของรถ EV สมัยใหม่ออกแบบให้มีความทนทานและใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น โดยในแต่ละครั้งที่นำรถเข้าศูนย์จะมีการบำรุงรักษา 4 ส่วนสำคัญคือ ระบบขับเคลื่อน ระบบเบรก ระบบระบายความร้อน และการกรองอากาศเท่านั้น ไม่มีการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องแบบเดิม ๆ ด้วยการบำรุงรักษาที่น้อยกว่านี้ จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า อย่างไรก็ตามการนำรถเข้าศูนย์เช็กระยะ อาจมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างออกไปได้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถยนต์ไฟฟ้า และลักษณะการใช้งานของผู้ขับขี่แต่ละคนด้วย
5. การเบรกเพื่อชาร์จไฟ
การเบรกเพื่อชาร์จไฟ หรือ Regenerative Braking เป็นระบบเบรกของรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถกักเก็บพลังงานจลน์บางส่วนเพื่อนำกลับมาใช้อีกครั้งเมื่อมีการเร่งความเร็วใหม่ ระบบการเบรกนี้จะจับพลังงานระหว่างการเบรกและใช้เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ตลอดการเดินทาง จึงช่วยลดการสึกหรอของผ้าเบรกและยืดอายุการใช้งานได้ การเบรกเพื่อชาร์จไฟจึงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป รถไฟฟ้า EV ตัวเลือกของคนยุคใหม่
รถไฟฟ้า EV ได้รับความนิยมเนื่องจากความคุ้มค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้รถใช้ถนน แต่มีหนึ่งสิ่งที่หลายคนกังวลว่าจะซื้อรถไฟฟ้าดีไหม คือ ระยะทางต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ต้องบอกเลยว่าด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นได้พัฒนาให้มีระยะการขับขี่ที่ไกลขึ้น ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับระยะการขับขี่ได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นชินกับการขับรถเก๋งไฟฟ้า ประกันรถยนต์โดยเฉพาะประกันรถยนต์ชั้น 1 พร้อมให้ความคุ้มครองแบบจัดเต็ม หมดกังวลตลอดการขับขี่ได้อย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก: SCB Protect