เปิดเทอมแล้ว! ทำประกันสุขภาพและอุบัติเหตุให้ลูกรักดีไหม?
เด็กเป็นวัยอยากรู้อยากลอง พูดอะไรไม่ค่อยฟัง เวลาบอกว่าอย่ามักทำในสิ่งที่ตรงข้าม เพราะเด็กไม่เข้าใจและไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ หน้าที่สอดส่องดูแลเลยตกเป็นของผู้ใหญ่ที่รู้ประสีประสามากกว่า ซึ่งในช่วงนี้เด็กซนก็เริ่มไปโรงเรียนกันแล้ว ก็มีแค่คุณครูเท่านั้นที่จะช่วยดูแลให้ แต่คนเป็นผู้ปกครองก็คงอยากรู้ว่าจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนมีที่ไหนบ้าง เพราะจะส่งต่อข้อมูลให้คุณครูจะได้ช่วยกันดูแลเด็กซนกันให้รอบคอบมากขึ้น ดังนั้น มาดูกันเลยว่าจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนที่จะทำให้เด็กซนเจ็บป่วยมีที่ไหนบ้าง
ระวัง! 6 จุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนที่ต้องรู้ก่อนเด็กซนจะเจ็บป่วย
โรงเรียนเหมือนบ้านหลังที่สองของเด็กนักเรียน เพราะเด็กทุกคนไม่ว่าจะดื้อซนหรือเรียบร้อยต่างก็ต้องทำกิจกรรมที่โรงเรียนตั้งแต่เช้าถึงเย็น แน่นอนว่าทุกกิจกรรมมีโอกาสที่เด็กจะเจ็บป่วย ดังนั้น โรงเรียน ผู้ปกครอง และคุณครูจึงต้องใส่ใจเรื่องจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนให้มากขึ้น ประกันติดโล่เลยอยากชวนมาเช็กว่ามีจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนที่ไหนบ้างที่คุณครูยังไม่เข้าไปจัดการให้เรียบร้อยบ้าง หรือจุดไหนที่ผู้ปกครองต้องย้ำเตือนให้เด็กซนเข้าใจว่าต้องระวังมากขึ้นเมื่อใช้ชีวิตในโรงเรียน ซึ่งจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนที่ว่าประกอบไปด้วย
1. สนามเด็กเล่น : สไลเดอร์ขาหัก น็อตชิงช้าหลวม
สนามเด็กเล่นถือเป็นสถานที่ที่ส่งเสริมทักษะให้กับเด็ก แต่ก็ยังเป็นจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนอีกด้วย เพราะเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นบางชนิดอาจผ่านการใช้งานมานานและไม่ได้รับการบำรุงรักษาเลย ส่งผลให้เครื่องเล่นไม่ได้พร้อมใช้งาน เช่น สไลเดอร์ขาหัก น็อตชิงช้าหลวม ซึ่งจุดเสี่ยงอันตรายในสนามเด็กเล่นสามารถทำให้เด็กซนเจ็บป่วยได้ เช่น สไลเดอร์ขาหักทำให้เด็กล้มหน้าคะมำระหว่างไถลตัวลงมา เป็นต้น
2. ประตูรั้วโรงเรียน : รางเลื่อนประตูไม่แข็งแรง
ประตูโรงเรียนคือจุดแรกที่เด็กซนจะได้พบเจอ แล้วขึ้นชื่อว่าเด็กซนคงไม่อยู่เฉยแน่ ๆ คงวิ่งเข้าไปเขย่าประตูให้เป็นไปตามแรงสั่นสะเทือนของตัวเอง หรือปีนป่ายรั้วโรงเรียน ถ้าประตูหรือรั้วแข็งแรงคงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าประตูหรือรั้วโรงเรียนมีอายุการใช้งานที่นานมากแล้ว น็อตหลวมมาก แถมรางเลื่อนไม่แข็งแรง มีโอกาสมากที่ประตูหรือรั้วโรงเรียนจะล้มมาทับเด็กซนให้เจ็บป่วยชนิดที่ว่าหัวร้างข้างแตกจนเลือดอาบก็ได้ นี่เลยเป็นจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนที่คุณครูหรือผู้มีอำนาจในการสั่งการไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด
3. บันไดในอาคาร : ราวจับบันไดคม มีรอยสนิม
เด็กหลายคนยังไม่สามารถขึ้นลงบันไดในอาคารได้อย่างคล่องแคล่ว ส่งผลให้เวลาที่ต้องขึ้น ๆ ลง ๆ มักจะต้องจับราวบันไดเพื่อประคองตัวเองไม่ให้ล้มหน้าคะมำ แต่ถ้าราวบันไดที่ถูกเคลือบด้วยยางนั้นผุพัง แล้วโผล่ด้านแหลมคมออกมาชนิดที่ว่าสามารถบาดนิ้วเด็กได้ต้องเป็นปัญหาแน่ เพราะถือมือเด็กมีดินหรือทรายติดอยู่ก็มีโอกาสทำติดเชื้อบาดทะยัก ดังนั้น โรงเรียนต้องเข้ามาจัดการจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนแบบด่วน ๆ เลยครับ
4. สระว่ายน้ำ : เด็กพลัดตกน้ำ เด็กจมน้ำ
หลาย ๆ โรงเรียนมีสระว่ายน้ำเป็นของตัวเอง เพราะมีวิชาว่ายน้ำในหลักสูตรการเรียนการสอน ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องน้ำเรื่องท่านี่น่ากลัวมาก ต่อให้ว่ายน้ำเก่งแค่ไหนถ้าขาหมดแรงก็อาจจะทำให้ลำบากได้ แล้วในเด็กที่กำลังหัดว่ายน้ำจะช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร ดังนั้น สระว่ายน้ำของโรงเรียนควรมีเวลาเปิด-ปิดที่ชัดเจน มีรั้วล้อมให้เป็นเรื่องเป็นราว และมีเจ้าหน้าที่หรือคุณครูช่วยกันดูแลเด็กซนด้วย เพราะถ้าคลาดสายตาไปแค่เสี้ยววินาทีก็มีโอกาสที่เด็กจะพลัดตกน้ำ หรือจมน้ำได้จริง ๆ จุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนอย่างสระว่ายน้ำต้องได้รับความใส่ใจมาก ๆ
5. ระเบียงอาคาร : เด็กพลัดตกตึก หัวติดกับระเบียง
สำหรับโรงเรียนที่มีอาคารเรียนสูงมากกว่า 2 ชั้นควรที่มีลูกเกร็งเหล็กปิดระเบียงเอาไว้ รวมไปถึงหน้าต่างของห้องเรียนด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กซนปีนป่ายจนพลัดตกลงมาจากอาคารจนเสียชีวิต หรือเด็กซนนำหัวสอดเข้าไปที่ระเบียงแล้วไม่สามารถดึงหัวออกมาได้ก็เช่นกัน จุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนอย่างระเบียงอาคารอย่างนี้ ทางโรงเรียนควรต้องป้องกันความเสี่ยงไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นะครับ หรือผู้ปกครองจะช่วยย้ำเตือนให้เด็กระมัดระวังตัวเองเพิ่มอีกแรงก็ได้ ต่อให้ซื้อประกันสุขภาพและอุบัติเหตุเด็กเอาไว้ก็ไม่ควรประมาท
6. ตู้ดื่มน้ำในโรงอาหาร : ไฟช็อตเพราะสายไฟรั่ว
ในช่วงก่อนที่ยังไม่ต้องเรียนออนไลน์ที่บ้าน ผู้ปกครองคงจะได้เห็นข่าวเด็กโดนไฟช็อตที่ตู้ดื่มน้ำอยู่บ่อย ๆ เพราะตู้น้ำดื่มเหล่านั้นหละหลวมในการติดตั้งสายดินเพื่อป้องกันกระแสไฟรั่ว ด้วยความที่เด็กก็รู้เท่าไม่ถึงการณ์เลยเอาปากไปดูดจากก๊อกจนทำให้โดนไฟช็อตเสียชีวิต ถือว่าอันตรายมาก ๆ และคราวนี้โรงเรียนเปิดแล้ว เหตุการณ์เด็กถูกไฟช็อตจากตู้กดน้ำอาจจะกลับมาถ้าเกิดว่าละเลยการดูแล ดังนั้น จุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนอย่างตู้กดน้ำต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างเร่งด่วนจากโรงเรียน เพื่อไม่ต้องให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียซ้ำ ๆ
เด็กซนเหมือนลิงต้องชิงซื้อประกันสุขภาพและอุบัติเหตุไว้เลย
เด็กที่ซนเหมือนลิงนี่น่าปวดหัวสุด ๆ เพราะต้องคอยจับตามองตลอดเวลา ถ้าคลาดสายตาอาจจะไปดื้อซนจนเกิดอุบัติเหตุเจ็บตัวได้ แล้วช่วงนี้ก็เปิดเทอมแล้ว แม้จะมีคุณครูคอยดูแลให้แต่คนเป็นผู้ปกครองก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี กลัวว่าจะไปดื้อซนในจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนแล้วเจ็บตัวเข้าให้ เห็นทีต้องซื้อประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุให้เด็กดื้อเด็กซนเสียแล้ว อย่างน้อย ๆ ถ้าเจ็บตัวมาจะได้มีอะไรคุ้มครอง
การที่ประกันติดโล่แนะนำให้คุณซื้อประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุเพราะว่านอกจากจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนที่ต้องระวังเป็นพิเศษแล้ว ยังมีโรคอื่น ๆ ที่วัยเด็กต้องพบเจอด้วย เช่น ไข้เลือดออกในหน้าฝน อาหารเป็นพิษในหน้าร้อน มลพิษทางอากาศ ไข้หวัดใหญ่เวลาอากาศเปลี่ยน หรือมือปากเท้า
ดังนั้น จะมีอะไรดีไปกว่าการซื้อเพียง 1 กรมธรรม์แต่ได้ความคุ้มครองแบบคูณสองไปเลยทั้งเรื่องสุขภาพและอุบัติเหตุ คุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีกนะครับ โดยแผนประกันที่ประกันติดโล่มีคือ
- ประกันสุขภาพเฉพาะโรค Care for Kids เบี้ยเริ่มต้น 1,600 บาทต่อปี (วันละ 4 บาท)
ซึ่งคุณสามารถเลือกประกันสุขภาพและอุบัติเหตุได้ตามความต้องการเลย ว่าอยากให้ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุคุ้มครองแบบไหน หรือคุณอยากจะจ่ายเบี้ยประกันเท่าไหร่ต่อปี
สรุป
อุบัติเหตุในโรงเรียนเกิดขึ้นได้เสมอต่อให้เด็กคนนั้นจะเป็นเด็กซนหรือเด็กเรียบร้อย ถ้าเกิดเข้าไปอยู่ในจุดเสี่ยงอันตรายในโรงเรียนก็มีโอกาสเจ็บป่วยหรือเจ็บตัวได้ทั้งนั้น ต่อให้คุณครูคอยสอดส่องดูแลแบบไม่คลาดสายตาแต่ถ้ามันจะเกิดก็ต้องเกิด ดังนั้น การซื้อประกันสุขภาพและอุบัติเหตุเลยจะช่วยคุ้มครองลูกรัก ถึงแม้จะอยู่ไกลกัน แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุหรือเด็กเจ็บป่วยขึ้นมา ก็จะได้ใช้สิทธิ์รักษาได้อย่างทันท่วงที
ขอบคุณข้อมูลจาก : มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก, องค์การบริหารส่วนตำบาลท่าตะคร้อ