หัวโนประคบอะไร ควรประคบร้อน หรือประคบเย็นก่อนดี?

ใครเคยประสบเหตุการณ์ลูกหกล้มหัวโน หรือตัวเองเดินชนประตูจนหน้าผากปูดบ้างครับ? เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ และมักจะเกิดคำถามว่า หัวโนประคบอะไรดี จะประคบร้อน หรือประคบเย็นก่อนดี? วันนี้ประกันติดโล่จะมาไขข้อสงสัยพร้อมแนะนำวิธีดูแลอาการหัวโนอย่างถูกต้องกันครับ
หัวโนเกิดจากสาเหตุใด
การบาดเจ็บที่ศีรษะแบบไม่รุนแรงจนทำให้เกิดอาการหัวโนนั้น มักพบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่กำลังหัดเดิน หรือซุกซน สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการหกล้ม หรืออุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ โดยเมื่อศีรษะได้รับการกระแทก เลือดใต้ผิวหนังจะมีการคั่งและไหลมารวมกัน ทำให้เกิดอาการบวมปูดขึ้นมา ซึ่งความรุนแรงของอาการจะขึ้นอยู่กับแรงกระแทกและพื้นผิวที่ศีรษะไปกระทบ
ลักษณะอาการหัวโนที่พบได้ทั่วไป
เมื่อเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยจนทำให้หัวโน ส่วนใหญ่มักไม่ใช่อาการที่รุนแรง และสามารถหายได้เอง แต่ก็อาจมีอาการที่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้ ดังนี้
- อาการปวดบริเวณที่ถูกกระแทก พร้อมกับมีรอยนูนปูดขึ้นมา ซึ่งเป็นผลจากการที่เลือดมาคั่งบริเวณนั้น บางครั้งอาจมีรอยแดง หรือรอยช้ำร่วมด้วย
- รู้สึกมึนงงหรือวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย เนื่องจากผลกระทบจากแรงกระแทก แต่อาการไม่รุนแรง และมักหายไปภายในไม่กี่นาที
- การมองเห็นอาจพร่าเบลอชั่วขณะ แต่จะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว หากยังมีอาการต่อเนื่องควรรีบพบแพทย์
- บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ หรือรู้สึกไม่สบายท้องเล็กน้อย ซึ่งเป็นปฏิกิริยาของร่างกายต่อการกระทบกระเทือน
เช็กลิสต์! อาการหัวโนแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์
แม้ว่าอาการหัวโนส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่มีบางกรณีที่ไม่ควรชะล่าใจ โดยเฉพาะถ้าพบอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- อาการหน้ามืด วูบ หรือหมดสติแม้เพียงช่วงสั้นๆ เพราะอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนรุนแรง ซึ่งต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
- มีอาการซึม ง่วงนอนผิดปกติ หรือตอบสนองช้ากว่าปกติ บางครั้งอาจสังเกตได้จากการพูดจาที่สับสนหรือไม่ชัดเจน เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บที่สมอง
- เกิดอาการชัก กล้ามเนื้อกระตุก หรือมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของร่างกาย ซึ่งเป็นอาการที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์โดยด่วน
- มีอาการอาเจียนต่อเนื่อง หรือคลื่นไส้รุนแรงที่ไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นหลังจากได้รับบาดเจ็บไปแล้วหลายชั่วโมง
- สังเกตพบว่ามีของเหลวใสๆ หรือเลือดไหลออกจากหู จมูก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บที่รุนแรงกว่าที่เห็นภายนอก
ใครบ้างที่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลอาการหัวปูด หัวโน
การบาดเจ็บที่ศีรษะเป็นเรื่องที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงต่อไปนี้
- ผู้ที่เคยผ่าตัดสมองมาก่อน เพราะอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าคนทั่วไป และแม้จะเป็นการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อยก็ควรได้รับการตรวจจากแพทย์
- ผู้ที่มีปัญหาเลือดออกง่าย หรือกำลังรับประทานยาละลายลิ่มเลือด เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดเลือดออกในสมองได้ง่ายกว่าปกติ
- ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่รุนแรง เช่น อุบัติเหตุจากการจราจร ขับรถชนเสาไฟฟ้า หรือตกจากที่สูง เนื่องจากแรงกระแทกอาจรุนแรงกว่าที่ประเมินได้ด้วยตาเปล่า
- ผู้ที่มีอาการมึนเมาขณะเกิดอุบัติเหตุ เพราะอาจประเมินความรุนแรงของอาการได้ไม่แม่นยำ
แนะนำวิธีปฐมพยาบาลอาการหัวโนเบื้องต้น
สำหรับอาการหัวโนที่ไม่รุนแรงและไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เราสามารถดูแลรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง แล้วหัวโนใช้อะไรประคบ และมีวิธีดูแลอย่างไร มาดูกันครับ
1. ให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั่งอยู่เฉยๆ หลีกเลี่ยงการขยับตัว
เมื่อศีรษะได้รับการกระแทกจนเกิดอาการหัวโน สิ่งแรกที่ควรทำคือให้ผู้บาดเจ็บนั่งพักนิ่งๆ เพราะการเคลื่อนไหวมากอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนหรือหน้ามืดได้ โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ร่างกายยังไม่ปรับตัวจากแรงกระแทก ควรให้เวลาร่างกายได้พักสักครู่
2. เช็ดทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือ
หากบริเวณที่หัวโนมีรอยถลอกหรือมีเลือดซิบ ให้ใช้น้ำเกลือล้างแผลหรือเช็ดทำความสะอาดเบาๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ระวังอย่ากดแรงเพราะอาจทำให้เจ็บมากขึ้น และควรสังเกตลักษณะแผลว่ามีความรุนแรงหรือไม่
3. ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
หัวโนประคบอะไรในช่วงแรก? คำตอบคือควรประคบเย็นทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ โดยใช้เจลประคบเย็น หรือน้ำแข็งห่อผ้าประคบบริเวณที่บวม ครั้งละ 15-20 นาที ความเย็นจะช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ลดการบวมและอาการปวดได้ครับ
4. รับประทานยาแก้ปวด
หากมีอาการปวดมาก สามารถรับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาแอสไพริน หรือยาต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเลือดออก ส่วนในเด็กควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรเรื่องขนาดยาที่เหมาะสมก่อนจะดีกว่าครับ
5. เฝ้าระวังอาการผิดปกติภายใน 24 ชั่วโมง
ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิดอุบัติเหตุ ควรมีคนคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอาการผิดปกติที่อาจบ่งบอกถึงการบาดเจ็บที่รุนแรง เช่น อาการซึม หมดสติ หรือคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง
6. ประคบร้อนหลังครบ 24 ชั่วโมง และไม่มีอาการผิดปกติใดๆ
หลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมงและไม่พบอาการผิดปกติ สามารถเปลี่ยนจากการประคบเย็นมาเป็นประคบร้อนได้ โดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆ หรือใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบ ครั้งละ 15-20 นาที ความร้อนจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้รอยช้ำและอาการบวมยุบเร็วขึ้นครับ
7. เฝ้าระวังต่อเนื่องจนครบ 72 ชั่วโมง
แม้จะดูแลอาการหัวโนด้วยการประคบเย็นและประคบร้อนอย่างถูกวิธีแล้ว แต่ก็ยังจำเป็นต้องเฝ้าระวังอาการต่อเนื่องจนครบ 72 ชั่วโมง เพราะผลกระทบต่อสมองอาจแสดงอาการช้าได้ โดยควรสังเกตการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด เช่น อาการปวดศีรษะที่รุนแรงขึ้น อาการซึมลง การอาเจียนบ่อยครั้ง หรือมีปัญหาด้านการทรงตัว รวมถึงความผิดปกติทางอารมณ์และพฤติกรรม เช่น หงุดหงิดง่าย สับสน หรือมีปัญหาด้านความจำ หากพบความผิดปกติเหล่านี้ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะในเด็กที่อาจสื่อสารความรู้สึกได้ไม่ชัดเจนครับ
ทำไมหัวโนต้องประคบเย็นก่อน แล้วค่อยประคบร้อน
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมหัวโนใช้อะไรประคบก็ได้ แต่ต้องเป็นความเย็นก่อนเสมอ เหตุผลก็คือ เมื่อเกิดการบาดเจ็บใหม่ๆ ร่างกายจะตอบสนองด้วยการเพิ่มการไหลเวียนเลือดมาที่บริเวณนั้น ทำให้เกิดการบวมและอักเสบ การประคบเย็นจะช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ลดการไหลเวียนเลือดมาที่บริเวณบาดเจ็บ จึงช่วยบรรเทาอาการบวมและลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนการประคบร้อนนั้น จะเหมาะสำหรับการรักษาในระยะที่พ้นช่วงการอักเสบเฉียบพลันแล้ว คือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว ความร้อนจะช่วยขยายเส้นเลือด เพิ่มการไหลเวียน ช่วยให้ของเหลวที่คั่งค้างถูกดูดซึมกลับได้ดีขึ้น และกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ ทำให้อาการบวมและรอยช้ำหายเร็วขึ้น
สรุป หัวโน หัวปูด อาจเป็นอันตรายได้ ต้องดูแลให้ถูกวิธี
อาการหัวโนแม้จะดูเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ การดูแลที่ถูกต้องตั้งแต่แรกจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการเลือกประคบเย็นในช่วงแรก และเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที
และเพื่อความอุ่นใจยิ่งขึ้น การทำประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลกับประกันติดโล่จะช่วยคุ้มครองค่าใช้จ่ายหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน ทำให้คุณสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงทีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย พร้อมให้การดูแลคุณและครอบครัวตลอด 24 ชั่วโมงครับ
*ผู้ซื้อควรศึกษารายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขกรมธรรม์ก่อนตัดสินใจทำประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลทุกครั้ง
ที่มา: โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์