เลือกหน้ากากอนามัยอย่างไร ให้ปลอดภัยจากสถานการณ์ต่าง ๆ
เนื่องด้วยสถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรน่าหรือCovid-19 ยังคงมีการแพร่ระบาด ทำให้ทุกวันนี้ไม่ว่าไปที่ไหน เราก็ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย เพราะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อหรือเชื้อโรคต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยป้องกันมลพิษทางอากาศได้ แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้ว หน้ากากอนามัยที่เราสวมกันอยู่ทุกวันนี้ มีความแตกต่างและความสามารถในการป้องกันที่ไม่เหมือนกัน
ในบทความนี้เรามาดูว่าหน้ากากแต่ละประเภทใช้ป้องกันอะไรบ้าง แล้วเราควรเลือกใช้แบบไหนในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
การเลือกใช้หน้ากากอนามัยให้ถูกตามสถานการณ์
หน้ากากอนามัยในท้องตลาดที่เราพบเจอมีหลายรูปแบบและหลายขนาดให้เลือกใช้ แล้วเราจะเลือกใช้อย่างไรดี ในบทความนี้ได้แบ่งการเลือกใช้หน้ากากอนามัย ตามความสามารถในการป้องกัน ออกเป็น 3 สถานการณ์ที่เราพบเจอกันอยู่ในตอนนี้
-
ในสถานการณ์ที่มีฝุ่นควันและมลพิษ
ในช่วงที่อากาศมีมลพิษค่อนข้างสูง เนื่องจากควันไฟ ไอเสียรถยนต์ หรือแม้แต่ PM 2.5 ต่างก็ส่งผลให้อากาศเสีย การสูดดมโดยตรงในระยะเวลานานจะส่งผลเสียให้กับร่างกายได้
การสวมหน้ากากอนามัยแบบผ้า ตอบโจทย์ในเรื่องการกรองอนุภาคจากฝุ่นหรือควันขนาดเล็กได้ดี มีหลายรูปแบบและดีไซน์ให้เลือกใช้ หาซื้อได้ง่ายและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ด้วย
จุดเด่น : พกพาง่าย สวมใส่สะดวก ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบผ้าที่สามารถใช้แล้วนำกลับมาซักใช้ใหม่ได้
จุดด้อย : ป้องกันเชื้อโรคไม่ได้
-
ในสถานการณ์ที่มีโรคติดต่อทางลมหายใจแพร่ระบาด
การต้องไปในที่ที่มีคนแออัด ไม่ว่าจะเป็น รถบริการสาธารณะ รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า ตลาด ที่ทำงาน หรือที่อื่น ๆ ในช่วงที่มีการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางลมหายใจ ไม่ว่าจะเป็นหวัดเล็ก ๆ ไปจนถึงโรคติดต่อทางลมหายใจที่ยังควบคุมไม่ได้ เช่น COVID-19
การสวมหน้ากากอนามัยแบบใยสังเคราะห์ 3 ชั้น หรือหน้ากากอนามัยแบบทั่วไปที่เราหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ หรือร้านขายขา จะมีการเคลือบสารป้องกับเชื้อโรคอยู่ โดยสวมใส่ให้หันด้านที่มีสารเคลือบออกด้านนอก
จุดเด่น : สวมใส่ได้ง่าย และมีลวดล็อคกับสันจมูกเพื่อป้องกันการเลื่อนหลุดของหน้ากาก
จุดด้อย : ต้องใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
-
ในสถานการณ์ที่มีทั้งโรคติดต่อทางลมหายใจและมลพิษในอากาศสูง
เราเห็นกันแล้วว่า จะมีช่วงที่มีคนเป็นหวัด ไอ จาม จำนวนมาก หรือรุนแรงไปจนถึงโรคติดต่อที่ยังควบคุมไม่ได้ เกิดขึ้นพร้อมกับมลพิษทางอากาศอย่าง PM 2.5 ก็มีหน้ากากอนามัยที่ถูกผลิตมาตอบโจทย์สถานการณ์นี้อยู่คือ หน้ากากอนามัยN95
หน้ากากประเภทนี้จะมีราคาที่สูงกว่าทั้ง 2 ประเภทแรก มีการใช้งานที่ค่อนข้างซับซ้อนกว่า แต่ประสิทธิภาพป้องกันดีกว่า
จุดเด่น : สามารถป้องกันได้ทั้งฝุ่นละอองในอากาศที่มีอนุภาคขนาดเล็กมากได้ และยังป้องกันเชื้อโรคหลายได้ชนิด
จุดด้อย : สวมใส่ค่อนข้างยาก มีขนาดใหญ่ และต้องสวมให้แนบแน่นกับใบหน้า ทำให้หายใจได้ไม่สะดวก
ข้อแนะนำ : หน้ากากแบบ N95 อาจมีราคาสูงและหาซื้อได้ยาก การใช้หน้ากากแบบใยสังเคราะห์ซ้อนกัน 2 ชั้น ก็มีความสามารถในการป้องกันได้เช่นเดียวกัน แต่ต้องสวมให้แนบกับใบหน้า
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน
การสวมหน้ากากอนามัยอาจยังไม่ใช่วิธีการป้องกันที่ได้ผล 100% แต่เป็นเพียงแค่การลดโอกาสในการสัมผัสทางลมหายใจเท่านั้น นอกจากการสวมใส่หน้ากากอนามัยแล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำควบคู่กันไปด้วย
เชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกที่อยู่รอบตัวยังสามารถเข้าโจมตีเราได้จากหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส การกิน จึงควรป้องกันให้รอบด้าน
- ล้างมือให้สะอาด
เราใช้มือหยิบจับกับสิ่งรอบตัวอยู่ตลอด แต่เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราสัมผัสไปนั้นมีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกอะไรติดมือของเรามาบ้าง แม้เราจะสวมหน้ากากอนามัยแล้ว แต่เราใช้มือที่ไม่สะอาดมาใส่และถอดหน้ากากอนามัย ก็มีโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายเราได้เช่นกัน
การล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสใบหน้าหรือสวมใส่หน้ากากอนามัยด้วย เจลล้างมือ หรือล้างด้วยน้ำสบู่ จะช่วยลดโอกาสที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายของเราได้
- แว่นตา
- โทรศัพท์
- เครื่องประดับ
- กระเป๋า
- หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
การไปยังสถานที่แออัด มีโอกาสที่จะทำให้เราได้รับเชื้อโรคจากทางลมหายใจได้ง่าย แต่ถ้าจำเป็นต้องเดินทางไปจริง ๆ ควรใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง และล้างมือให้สะอาดหลังจากสัมผัสวัตถุหรือสิ่งของส่วนรวม เช่น ราวจับบนรถ ประตู
สร้างเกราะป้องกันก่อนออกเดินทาง
อย่าละเลยการสวมหน้ากากอนามัยไปในที่สาธารณะ เพราะเป็นหนึ่งวิธีในการป้องกันตัวเองเบื้องต้นที่สามารถทำได้ง่าย และหมั่นติดตามคุณภาพของอากาศอยู่เสมอ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับสุขภาพของเราเอง นอกจากนี้แล้วการพกเจลล้างมือ หรือทิชชูเปียก ก็ช่วยให้เสริมสร้างเกราะป้องกันเชื้อโรคได้เช่นเดียวกัน