เที่ยวจิ่วจ้ายโกวเดือนไหนดี อากาศเป็นยังไง ช่วงไหนปังสุด

ใครที่กำลังวางแผนเที่ยวจีน และมองหาสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามระดับโลก ต้องไม่พลาดกับการไปเยือนจิ่วจ้ายโกว มรดกโลกทางธรรมชาติที่ได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์บนดิน ด้วยความงดงามของทะเลสาบสีมรกต น้ำตก และขุนเขาที่รายล้อม แต่หลายคนอาจสงสัยว่า ควรไปเที่ยวจิ่วจ้ายโกวเดือนไหนดี? บทความนี้ประกันติดโล่จะพาคุณไปทำความรู้จักกับไฮไลต์ในแต่ละฤดูกาล พร้อมแนะนำจุดเช็กอินที่ห้ามพลาดเลย
จิ่วจ้ายโกว (Jiuzhaigou) สวรรค์แดนมังกรที่ทุกคนควรไปเยือน
จิ่วจ้ายโกวเป็นอุทยานแห่งชาติที่ตั้งอยู่บนดินแดนทิเบต-จีน ในมณฑลเสฉวน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโกในปี 1992 และที่สำคัญยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 5A ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการท่องเที่ยวในประเทศจีน ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่รวมเอาทั้งทะเลสาบ น้ำตก และขุนเขาเอาไว้ในที่เดียว ทำให้จิ่วจ้ายโกวกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝันอยากมาเยือนสักครั้งในชีวิต
เที่ยวจิ่วจ้ายโกวเดือนไหนดี แต่ละช่วงอากาศเป็นยังไง
จิ่วจ้ายโกวสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยแต่ละฤดูกาลก็จะมีเสน่ห์และความงดงามที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่าแต่ละช่วงเวลามีไฮไลต์อะไรที่น่าสนใจบ้าง
จิ่วจ้ายโกวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน – ตุลาคม)
ฤดูใบไม้ร่วงถือเป็นไฮไลต์ที่สุดของการเที่ยวจิ่วจ้ายโกว โดยในช่วงนี้อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 9-23 องศาเซลเซียส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังได้ชมความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีที่กระจายตัวไปทั่วทั้งหุบเขา สีสันของธรรมชาติทั้งสีแดง ส้ม และเหลือง สะท้อนลงบนผืนน้ำในทะเลสาบสีมรกตที่ใสราวกระจก สร้างภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด ทำให้ช่วงเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยือนมากที่สุด
จิ่วจ้ายโกวในช่วงฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์)
สำหรับใครที่ชื่นชอบบรรยากาศหิมะขาวโพลน ต้องมาเที่ยวจิ่วจ้ายโกวในฤดูหนาว อุณหภูมิในช่วงนี้จะอยู่ที่ประมาณ -2 ถึง 14 องศาเซลเซียส ทั่วทั้งอุทยานถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ทะเลสาบและน้ำตกบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง สร้างภาพที่แปลกตาของทะเลสาบสีฟ้าท่ามกลางแมกไม้สีขาว นอกจากนี้ยังมีเทศกาลโคมไฟที่สวยงามในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้การมาเยือนจิ่วจ้ายโกวในฤดูหนาวมีเสน่ห์ไม่แพ้ฤดูอื่นๆ เลย
จิ่วจ้ายโกวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม – พฤษภาคม)
ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่ธรรมชาติกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 4-24 องศาเซลเซียส อากาศกำลังพอดี ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป ดอกไม้เริ่มผลิบาน ต้นไม้แตกใบอ่อนสีเขียวสดใส บางปีในช่วงต้นเดือนมีนาคมอาจมีโอกาสได้เห็นหิมะที่ยังละลายไม่หมดปกคลุมบนยอดเขา สร้างความงดงามที่แตกต่างไปอีกแบบ นอกจากนี้ยังมีเทศกาลฤดูใบไม้ผลิที่มีการจัดแสดงศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกด้วย
จิ่วจ้ายโกวในช่วงฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน – สิงหาคม)
ฤดูร้อนเป็นช่วงที่จิ่วจ้ายโกวเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 15-29 องศาเซลเซียส ทั่วทั้งอุทยานเต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม ดอกไม้บานสะพรั่ง ท้องฟ้าสดใส เหมาะแก่การถ่ายภาพ โดยเฉพาะในวันที่มีแสงแดดส่องกระทบผืนน้ำในทะเลสาบ จะเกิดประกายระยิบระยับสวยงาม แม้อากาศจะอุ่นขึ้น แต่ก็ยังคงเย็นสบายกว่าพื้นที่อื่นๆ ของจีนในช่วงเดียวกัน
6 จุดเช็กอินจิ่วจ้ายโกวที่ทุกคนไม่ควรพลาด
เมื่อมาเยือนจิ่วจ้ายโกวแล้ว มีหลายจุดที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด มาดูกันว่ามีที่ไหนบ้างครับ
1. ทะเลสาบยาว (Long Lake)
ทะเลสาบยาว คือ ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในจิ่วจ้ายโกว ด้วยความยาวกว่า 7 กิโลเมตร และพื้นที่กว่า 581 ไร่ มีรูปร่างโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว น้ำในทะเลสาบเป็นสีฟ้าสวยใสที่มาจากการละลายของหิมะบนภูเขา ล้อมรอบด้วยป่าสนและขุนเขาสูงตระหง่าน สร้างทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจ เป็นจุดถ่ายภาพที่ได้วิวกว้างสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอุทยานเลย
2. ทะเลสาบห้าสี (Five Flower Lake)
ทะเลสาบห้าสีถือเป็นไฮไลต์สำคัญที่สุดของจิ่วจ้ายโกว ด้วยความพิเศษของน้ำในทะเลสาบที่มีการไล่เฉดสีฟ้า-เขียวและเปล่งประกายคล้ายสีรุ้ง เกิดจากแร่ธาตุและพืชน้ำหลากหลายชนิด น้ำใสจนมองเห็นพื้นทะเลสาบ ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่มีใบไม้เปลี่ยนสีมาสะท้อนบนผิวน้ำ ยิ่งเพิ่มความมหัศจรรย์ให้กับทะเลสาบแห่งนี้ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดในจิ่วจ้ายโกวเลยครับ
3. ทะเลสาบแรด (Rhino Lake)
ทะเลสาบแรดเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อันดับสองของอุทยาน มีเสน่ห์พิเศษตรงที่ทิวทัศน์โดยรอบจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน จะเห็นดอกไม้และพืชพรรณเขียวขจี ส่วนฤดูใบไม้ร่วงจะเต็มไปด้วยใบไม้สีส้มแดงสวยงาม สะท้อนเงาลงบนผืนน้ำใสราวกระจก สร้างภาพที่สวยงามไม่ซ้ำใครในแต่ละฤดูกาล
4. ทะเลสาบไผ่ลูกศร (Arrow Bamboo Lake)
ทะเลสาบไผ่ลูกศรโดดเด่นด้วยการล้อมรอบของป่าไผ่ลูกศรที่หาดูได้ยาก สะท้อนภาพลงบนผืนน้ำสีเขียวมรกต สร้างบรรยากาศที่สงบและร่มรื่น ในอดีตที่นี่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของหมีแพนด้ายักษ์ที่ชอบกินไผ่ลูกศรเป็นอาหาร ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจและเป็นจุดถ่ายภาพที่ห้ามพลาดอีกจุดเลย
5. น้ำตกโนริลาง (Nuo Ri Lang Waterfall)
น้ำตกโนริลาง หรือน้ำตกธารไข่มุก เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในจิ่วจ้ายโกว มีความกว้าง 310 เมตร และสูง 40 เมตร สายน้ำที่ไหลลดหลั่นลงมาส่องประกายระยิบระยับคล้ายไข่มุก โดยเฉพาะในยามเช้าที่แสงแดดส่องกระทบละอองน้ำ จะเกิดเป็นรุ้งกินน้ำสวยงาม เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งครับ
6. หมู่บ้านซูเจิง (Shuzheng Village)
หมู่บ้านซูเจิงเป็นหนึ่งในเก้าหมู่บ้านดั้งเดิมของชาวทิเบตในจิ่วจ้ายโกว ล้อมรอบด้วยทะเลสาบน้อยใหญ่กว่า 19 แห่ง และน้ำตกซูเจิงที่มีความกว้าง 62 เมตร สูง 25 เมตร มีสายน้ำไหลแยกเป็นเส้นเล็กๆ นับพันสาย ดูคล้ายดอกบัว นอกจากความสวยงามทางธรรมชาติแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวทิเบตที่น่าสนใจมาก
สรุป เที่ยวจิ่วจ้ายโกวได้ทุกฤดู มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน
จิ่วจ้ายโกวเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามได้ในทุกฤดูกาล แต่ละช่วงเวลามีเสน่ห์และความพิเศษแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง หิมะขาวโพลนในฤดูหนาว ดอกไม้ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ หรือธรรมชาติเขียวขจีในฤดูร้อน ล้วนสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจไม่รู้ลืม
เพื่อให้การเดินทางของคุณราบรื่นและอุ่นใจมากยิ่งขึ้น อย่าลืมทำประกันการเดินทางต่างประเทศกับประกันติดโล่ที่พร้อมดูแลคุณตลอดการเดินทาง ทั้งค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน และการสูญหายของกระเป๋าเดินทางและทรัพย์สิน ให้คุณเที่ยวจิ่วจ้ายโกวได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางครับ
ที่มา: ไทยทราเวลเซ็นเตอร์, มัชรูมทราเวล